Blogger คู่มือ เขียนบล็อกสร้างรายได้ ฉบับสมบูรณ์ 2020


นี่คือคู่มือที่จะทำให้นักเขียน คนรักการเขียน สามารถกลายเป็น Blogger ที่มี Blog ของตัวเอง สร้าง Blog ที่มีคนติดตามอ่านในแต่ละวัน ค่อยๆ โตขึ้น และทำรายได้อย่างมั่นคง ยั่งยืนในอีก 6 เดือนข้างหน้า

เขียนบล็อกสร้างรายได้

การเป็น Blogger ไม่ได้ไส้แห้งอย่างที่คิด และอาชีพนี้ก็สามารถต่อยอดไปสู่อาชีพที่หลากหลายในเส้นทาง Digital Marketing ได้แต่ว่าต้องใช้เวลาเหมือนกันครับ อย่างน้อยๆ คือ 6 เดือนถึงจะเริ่มมีรายได้ก้อนแรก

บางครั้งก็อาจใช้เวลามากกว่านั้น โดยในบทความนี้จะแนะนำตั้งแต่การวางแผน วิธีหารายได้จาก Blog ที่ไม่ได้มีเพียงแค่วิธีเดียว  วิธีการลงมือทำ Blog ตั้งแต่วิธีการติดตั้ง WordPress ไปจนถึงตัวอย่าง Blog ทำเงิน

เนื้อหา

คำแนะนำ: คุณสามารถเลือกทำ Blog ผ่าน Platform ฟรีอย่าง Blogger ก็ได้ แต่เราแนะนำให้เสียเงินลงทุนสักเล็กน้อย และใช้ WordPress เพื่อที่จะได้ Blog ที่มีคุณภาพ และตรงใจคุณมากกว่า ทั้งหมดนี้ค่อย ๆ เรียนรู้ไปก็ได้ครับ

หารายได้จาก Blog ทำอย่างไรได้บ้าง ข้อควรรู้ก่อนลงมือทำ

Blogger

แน่นอนว่า หากคุณจะเริ่มทำเว็บเลยโดยไม่วางแผนเลย สิ่งที่อาจจะตามมาได้คือการลงทุนไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็น หรือสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่เคยเกิดกับเรา สมัยเริ่มหัดทำเว็บใหม่ๆ คือ การเลิกทำเว็บไปภายใน 3 – 7 วัน เพราะไม่มีคนเข้ามาในเว็บเลย

นั่นเป็นการล้มเลิกที่เลวร้ายมาก อย่างน้อยๆ เลยนะครับ คุณต้องใช้เวลาขั้นต่ำ 3 – 6 เดือนที่จะทำให้เว็บไซต์มีคนเข้าผ่าน Google Search ก่อนหน้านั้นคุณอาจจะหาคนเข้าเว็บได้บ้าง แต่อาจจะเป็นช่องทาง Social ที่คุณต้องโปรโมทด้วยตัวเอง

แต่ traffic ที่ยั่งยืนที่สุดก็จะมาจาก Google Search แหละครับ

เอาละครับ มาดูกันว่าเราจะวางแผนยังไง และจะทำรายได้จากทางไหน

รายได้จาก Blogger มาจากทางไหนบ้าง

วิธีที่จะทำให้คุณคิดหาวิธีทำเงินได้ สิ่งที่เราอยากจะให้จำไว้เลยคือ Blog ไม่ใช่ Blog, Blog คือ ธุรกิจออนไลน์ และควรเป็นธุรกิจที่คุณรักครับ มันไม่ได้เป็นแค่เว็บบทความ หรือที่ๆ คุณใช้เขียนบันทึกประจำวัน

คุณสามารถเปลี่ยนวิธีคิด พลิกวิธีมอง เพื่อทำให้ Blog ที่คุณเขียนอยู่ หรือกำลังจะเริ่มเขียน สามารถทำเงินได้ ส่วนเหตุผลที่ Blog ควรจะเป็นธุรกิจที่คุณรัก เพราะว่าคุณเองต้องเขียนมันด้วย อย่างไรละครับ แม้อาจจะสามารถจ้างคนอื่นเขียนได้

แต่เราเชื่อว่าถ้าคุณเขียนเอง บทความที่ออกมานั้น จะมีคุณค่า และมูลค่าทางจิตใจมากๆ ครับ การทำ Blog จะพาคุณก้าวสู่อิสระทางการเงินได้อีกทางนึงเลย เหมือนอย่างที่เรากำลังทำอยู่นี่เองครับ

และนี่เป็นช่องทางที่คุณอาจจะรู้แล้ว ว่ามันสามารถใช้ทำเงิน หารายได้ให้กับ Blog ของคุณได้ หรือถ้าหากคุณยังไม่รู้ เราก็ขอแนะนำให้คุณรู้จักครับ 🙂

Ads Publisher

คือคนที่จัดสรรโฆษณาออนไลน์ให้เราอัตโนมัติ ที่จะจ่ายคุณเมื่อคุณนำโฆษณาไปติด และมีคนคลิกโฆษณาของคุณ หรือมีคนเข้าเว็บไซต์จำนวนมาก เราขอแนะนำเจ้าที่เรารู้จัก ดังต่อไปนี้

Google Adsense

นี่คือบริการที่คุณควรรู้จัก Google Adsense ชื่อก็บอกเลยครับว่าเป็นของ Google ดังนั้นระบบจัดการโฆษณาของเขาจึงยอดเยี่ยมมาก เป็นเจ้าที่หากคุณเข้ามาในวงการนี้แล้ว จะต้องอยากติดโฆษณาของเจ้านี้แน่นอน เพราะมีราคาที่จ่ายค่อนข้างดี และมีมาตรฐานในการจัดการโฆษณาที่ดีที่สุด

คุณอาจจะเคยได้ยินเรื่องราวของคนที่ทำรายได้ต่อเดือนหลักแสน หรือหลักล้าน ผ่าน Google Adsense มาแล้ว ก็ขอบอกเลยว่าเป็นเรื่องจริงครับ

Google Adsense เหมาะสำหรับ

  • เว็บไซต์ที่เขียนเนื้อหาด้วยตัวเอง มีเนื้อหาคุณภาพ
  • เว็บขนาดเล็ก – ใหญ่ มีบทความประมาณ 20 – 50 บทความก็สามารถสมัครได้
  • ทุกคนที่ทำเว็บไซต์ถูกกฏหมาย ควรได้ลองใช้เจ้านี้ดูสักครั้ง
  • คนที่มี YouTube, Apps ก็ควรสมัคร เพราะอาจจะทำเงินได้ดีกว่า Blog เสียด้วยซ้ำ

Google Adsense ไม่เหมาะกับใคร

  • เว็บไซต์สายดำ มีกลเม็ดในการหลอกล่อให้คลิก การพนัน 18+ ทุกชนิด ทาง Google น่าจะแบนราบ อาจจะรอดในช่วงแรกแต่เดี๋ยวก็โดนแบนในเร็ววันอยู่ดีครับ
  • ไม่เชิงไม่เหมาะ แต่ว่าในปัจจุบันสมัคร Google Adsense ค่อนข้างยากมากๆ แล้วครับ แต่ก็มีวิธีทำให้สมัครได้อยู่นะ ก็คือ ทำเว็บคุณภาพ แบบที่เรากำลังจะแนะนำในบทความนี้แหละครับ

Google Adsense จ่ายเมื่อทำยอดครบ $100 ดอลลาร์ต่อเดือน และตัดยอดบิลใน 30 วันถัดไป

Affiliate

สำหรับมือใหม่ Affiliate เปรียบเหมือนกับการทำขายตรง หรือเชิญชวนเพื่อนให้มาซื้อของ แต่ด้วยวิถีทางออนไลน์ เราก็จะมีเพื่อนเยอะขึ้น ก็คือคนที่กำลังหาสินค้าที่ตอบโจทย์เขานั่นเอง

หากเรามีอันดับการค้นหาดีๆ และบทความของเรา เชิญชวนให้เขาตัดสินใจซื้อ เราก็จะได้รับเงินจากการเชิญชวนนั้น

ปัจจุบัน Affliate เป็นที่นิยมมากในต่างประเทศ เพราะว่าจ่ายกันหนักมาก คุณอาจจะทำเงินได้ดีกว่าการติดโฆษณาเสียอีก แต่สำหรับในประเทศไทยนั้น

เนื่องจากเราพึ่งเข้าสู่ยุคของการซื้อขายออนไลน์กันได้ไม่นาน การทำ Affiliate จึงไม่ค่อยได้รับความนิยมนัก แต่ก็มีตัวเลือกให้คุณเลือกสรรค์อยู่บ้าง คือ

Lazada Affiliate Program

เจ้านี้นอกจากจะเป็น E-commerce ระดับยักษ์แล้ว ยังมีระบบ Affliate ที่น่าจะดีที่สุดในประเทศไทยตอนนี้ คุณสามารถเลือกใช้เครื่องมือโปรโมทสินค้าได้ทั้ง การใช้ลิงค์ หรือ banner ที่ทาง Lazada จัดทำ โดยค่า commission ที่ได้มีทั้งจาก 1.5% ไปจนถึง 12%

Accestrade.in.th

เป็นเจ้าที่น่าจะอยู่มานานที่สุดในไทย และมี Product น่าสนใจให้เราโปรโมทค่อนข้างเยอะ โดยโมเดลการทำเงินจะเป็น Cost per lead , Cost per sale, Cost per install คือจ่ายเมื่อมีคนซื้อหรือลงทะเบียนผ่านการโปรโมทของเรานั่นเอง

เปรียบเสมือนป้ายโฆษณาหน้าร้าน

อันนี้เป็นวิธี Old School ที่สุดในวงการเว็บไซต์ ก็คือการปล่อยพื้นที่ให้เช่า ให้ติดแบนเนอร์ในเว็บเลย ข้อดีคือวิธีการขายที่คุณจะได้รับเงินเป็นก้อนรายเดือน มีอำนาจในการตัดสินใจต่อรองเอง

ทำให้มีโอกาสที่จะทำรายได้มากกว่าวิธีติดโฆษณาผ่าน Ads Publisher หรือการทำ Affiliate แต่ว่าจริงๆ แล้วคุณสามารถทำควบคู่ไปด้วยกันได้ หากเว็บคุณมีคุณภาพจริง ๆ

ในส่วนกลยุทธการตั้งราคา คือให้เปรียบเทียบเว็บเราดูว่ามีคนเข้าต่อวันเท่าไหร่ และนำไปเปรียบเทียบกับเว็บอื่นๆ ที่มีขนาดคนเข้าชมใกล้เคียงกัน และตั้งราคาให้อยู่ในเกณฑ์นั้น และหากมีอัตราการคลิกโฆษณาบอกกับคนที่สนใจซื้อก็จะทำให้การตัดสินใจซื้อเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น

หลายๆเว็บไซต์ก็มีการทำหน้า ติดต่อโฆษณา เอาไว้ ซึ่งเราก็ควรทำบ้าง เพราะไม่แน่ว่าคนที่เข้ามาในเว็บเรา เขาอาจจะอยากโปรโมทสินค้าของเขาด้วยเว็บเราก็ได้

Banner เหมาะสำหรับ

  • เว็บไซต์ที่มีจำนวนคนเข้าประมาณ 10,000 uip ต่อเดือนขึ้นไป (ยิ่งคนเข้าเยอะยิ่งดี)
  • คนที่ต้องการรายได้แน่นอนในแต่ละเดือน และมองว่าเว็บไซต์เราอยู่ในอุตสาหกรรมที่ต้องการโฆษณาสูง (บ้าน,รถ,งาน,ท่องเที่ยว อันนี้รับรอง มีลูกค้าแน่ๆ)
  • คนที่มีประสบการณ์ในการทำเว็บไซต์ เนื่องจากว่าต้องมีการจัดการด้วย Plugins
  • เจรจาเก่ง ต่อรองได้

Banner ไม่เหมาะกับใคร

  • คนที่ไม่เก่งใช้ Plugins ในการวางแบนเนอร์ ไปใช้ Ads Publisher ดีกว่าเขาจัดการเรื่องนี้ให้อัตโนมัติ
  • เว็บไซต์ที่ไม่อยู่ในอุตสาหกรรม Top 10 บนออนไลน์
  • คนที่ลองแล้วว่าใช้ Ads Publisher ทำกำไรได้มากกว่า

Link Exchange / Guest Post AKA. GUEST BLOGGING

การติด links หรือรับฝากโพสต์จากเว็บอื่น อันนี้เป็นวิธียอดนิยมในต่างประเทศ เพราะว่าการทำ link exchange หรือ guest post นั้นจะช่วยส่งเสริมให้เว็บไซต์ของคนที่มาฝาก ทำอันดับบน seo ได้ดีขึ้น เร็วขึ้น ในช่วง 1 – 3 เดือน

แต่ในไทยก็เห็นว่าจะมีน้อยที่ที่ทำ หรืออาจจะไม่ได้รับฝากอย่างโจ่งแจ้ง ส่วนใหญ่มักจะเป็นนักทำ seo หรือ webmaster ที่จะติดต่อไปหากันผ่าน email มากกว่า

Link Exchange – คือการติด link ในส่วนใดส่วนนึงของเว็บไซต์เพื่อหวังผลทาง SEO อาจจะเป็นในบทความ, Side bar หรือ Footer ของเว็บไซต์ก็ได้

Guest Post – คือการเป็นผู้รับเชิญในการเขียนบทความ ปกติเรามักจะเขียนบทความเพื่อเว็บตัวเอง แต่อันนี้คือเราจะให้คนอื่นมาเขียนบทความในเว็บเรา รวมไปถึงติด links กลับไปยังเว็บเขา เพื่อให้มีคนจากเว็บเราไปเยี่ยมชมเว็บเขา และยังเป็นวิธีการที่ดีในทาง Off-Page SEO เพราะ Google จะมองว่า links ที่ได้มามีคุณภาพมากๆ เพราะว่ามันได้มายากด้วยนั่นเอง

เป็นวิธีที่คุณควรรู้ไว้ เพราะหากเว็บคุณเจ๋ง มีค่า score ทาง seo ที่ดี ก็อาจจะทำให้คุณทำเงินผ่านช่องทางนี้ได้ อย่างน้อยๆก็ 10 – 20% ของรายได้ในเว็บเลยหล่ะ

LINK EXCHANGE / GUEST POST เหมาะสำหรับ

  • เว็บไซต์ที่มีค่า SEO SCORE สูง (ดู Domain Authority / Page Authority) คุณสามารถทำเงินจากตรงนี้ได้มาก เพราะว่าการติด link ในเว็บของคุณ จะสามารถพลิกอันดับเว็บไซต์ของเขาได้อย่างมหาศาล ยิ่งคุณมีค่า DA/PA สูง คุณก็จะสามารถคิดราคาค่าบริการได้แพงขึ้น

LINK EXCHANGE / GUEST POST ไม่เหมาะกับใคร

  • คนที่ยังไม่มีความรู้ด้าน SEO หากคุณรับเว็บไซต์มั่วๆ มา รับรองว่าอาจจะพาเว็บคุณลงเหวได้เหมือนกัน ควรเลือกเว็บไซต์ที่มีความเกี่ยวข้องกับเว็บของคุณ และเช็คเว็บไซต์ของลูกค้าอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนรับงาน

Advertorial

อีกหนึ่งวิธีที่ค่อนข้างเป็นที่นิยมในปัจจุบัน แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่มีมาตั้งแต่สมัยสื่อสิ่งพิมพ์ ที่จริงในมุมของการทำเว็บไซต์ Blog ก็มีความคล้ายคลึงกับ Guest Posting แต่ว่า Advertorial จะเน้นไปที่การเขียนรีวิว โปรโมทสินค้าโดยตรง

โดยจะจูงใจให้คนที่เข้ามาอ่านสนใจใน Products ที่ลูกค้าเลือกมาให้เราโปรโมท หากยังนึกไม่ออกว่า Advertorial คืออะไร ให้ลองนึกถึง Sponsors Review ในเว็บไซต์ Pantip.com นั่นแหละครับตัวอย่างที่คล้ายคลึงกัน

ADVERTORIAL เหมาะสำหรับ

  • เว็บไซต์ที่มีคนเข้าหลัก 100,000 ต่อเดือน ซึ่งจะสามารถจูงใจให้ลูกค้าสนใจซื้อกับเราได้
  • เว็บไซต์ที่มีช่องทาง Social Media มีฐานคนติดตามใน Facebook , Instagram , Twitter ก็จะช่วยให้มูลค่าของ Advertorial สูงขึ้นมากเลยทีเดียว
  • สุดยอดนักเขียนที่มีกลยุทธ์ในการเขียนโน้มน้าวใจ

ADVERTORIAL ไม่เหมาะกับใคร

  • คนที่ไม่สามารถเขียนบทความเองได้ ก็อาจจะต้องจ้างแทน

PRODUCT / ECOMMERCE

จะรอขายโฆษณาให้คนอื่นอยู่ทำไม? หากคุณเก๋าพอ นี่เป็นวิธีทำเงินที่ยั่งยืนมากๆเลย ก็คือไปเลือกหาสินค้ามาขายเองในเว็บไซต์ของคุณเลย อาจจะเป็นการเขียน Ebook ขาย

หรือเปลี่ยนบางส่วนของเว็บเป็น E-Commerce ขายของที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในเว็บไซต์ เช่น คุณทำเว็บไซต์สำหรับคนรักกีตาร์ คุณก็อาจจะหาสายกีตาร์ยี่ห้อดีๆ ปิ๊กกีตาร์ มาขายในเว็บไซต์ เกิดเป็นธุรกิจและสามารถต่อยอดได้

PRODUCT / E-COMMERCE เหมาะสำหรับ

  • เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเฉพาะทาง และเกี่ยวข้องกับงานอดิเรก เช่น เว็บคนรักกีตาร์ เว็บคนปลูกต้นไม้ เพราะคนที่เข้ามาในเว็บเรา มีแนวโน้มที่จะเป็นลูกค้าได้ง่ายมาก
  • คนที่เก่งค้าขายสินค้า ชอบค้าขาย หรือหากไม่เก่งก็อาจจะลองขายแบบขำๆไปก่อนก็ได้

PRODUCT / ECOMMERCE ไม่เหมาะกับใคร

  • เว็บข่าว หรือเว็บ portal หัวข้อขนาดใหญ่ เพราะว่าจะจับได้ยากว่าคนที่เข้ามาตามเว็บเราเป็นแบบไหน แต่หากคุณสร้างแบรนด์ได้ ก็อาจจะทำเสื้อยืดสกรีนโลโก้เว็บขายไปเลยก็ได้

คุณสร้างสรรค์การหาเงินด้วยตัวเองได้

สุดท้ายแล้ว แม้เราจะแนะนำวิธีหาเงินจากการเขียน Blog ที่เป็นรูปธรรมมากมาย แต่ว่าหากคุณทำไป อาจจะรู้สึกว่ามันไม่เหมาะกับตัวคุณ ยังไงเราขอแนะนำให้อย่าหยุดคิดไอเดียในการหาเงิน

บางครั้งคุณอาจจะทำอะไรเจ๋งๆออกมาที่คาดไม่ถึงเลยก็เป็นได้ ตราบใดที่มีคนเข้าเว็บไซต์ ทุกอย่างสามารถเปลี่ยนแปลงให้เป็นมูลค่าได้หมดแหละครับ

เห็นหรือยังครับว่ามีวิธีการตั้งมากมาย ที่จะทำให้คุณทำเงินจากการเป็น Blogger ได้ 15,000 ใน 6 เดือนคงเป็นเรื่องที่ไม่ยากเกินไป ที่สำคัญคุณจะลงแรงหนักแค่ในช่วง 6 เดือนแรกเท่านั้น ที่เหลือลงแรงสักสัปดาห์ละ 2 – 3 ชั่วโมงก็ยังได้ หากว่าเว็บไซต์ทำเงินได้ตามเป้าหมายที่กำหนด

เอาละครับ ถึงเวลามาดูแนการกันแล้ว

วิธีวางแผน เขียน Blog สร้างรายได้ ใน 6 เดือนแรก

เดือนที่ 0-1

  • Find Ideas หาไอเดีย ว่าอยากทำเว็บไซต์เกี่ยวกับอะไร
  • Research Keyword ดูว่าเป็นไปได้ไหมที่เราจะทำอันดับใน Keyword ต่างๆ วิธีหา คีย์เวิร์ดทำเงิน
  • Analyse Competitor ดูว่าคู่แข่งใน Keywords หลักเราคือใคร สู้ได้ไหม แล้วเราจะชนะเขาเพราะอะไร
  • Finding Unique Selling Point การตลาดกันสักหน่อย หาว่าเราจะแตกต่างจากคู่แข่งได้อย่างไร
  • Build Brandable Domain Name จดโดเมนเนม ที่เราคิดว่าสามารถเป็นชื่อแบรนด์ได้
  • Set-Up Website เริ่มติดตั้ง WordPress และจัดการเรื่อง Theme , Plugins ให้พร้อม
  • Site Structure Setup วางโครงสร้างเว็บไซต์ โครงสร้างหมวดหมู่
  • Write up to 10 Articles เขียน 10 บทความแรก
  • Become Friends with Google ส่งเว็บไซต์ไปให้ Google ทำความรู้จัก / ติดตั้งเครื่องมือวัดผล

เดือนที่ 2

  • Write up to 30 Articles เขียนเพิ่มอีก 20 บทความเป็นอย่างน้อย ตอนนี้เราจะมี 30 บทความในเว็บแล้ว
  • Setup Social Media ลองสร้างโปรไฟล์เว็บไซต์ ในเว็บอื่นๆ เพื่อหาทราฟิคทางเลือก เช่น Facebook / Instagram / Pinterest / Twitter
  • Start Building Link มาลองสร้าง Links จากเว็บอื่น เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บ

เดือนที่ 3

  • On Page SEO ถึงเวลาปรับโพสต์ที่เคยเขียนมา แต่งเสริมพลัง SEO ในบ้านกันไว้สักหน่อย
  • Write Write and Write เขียนต่อไป อย่าหยุด ถึงสิ้นเดือนควรมีสัก 50 บทความ
  • Build Link Build Authority สร้างลิ้งอย่างต่อเนื่อง อย่าเน้นจำนวนมากนัก เน้นคุณภาพไว้ก่อน
  • Register Google Adsense ถึงเวลาสมัครสมาชิก Google Adsense พร้อมมีรายได้ในเดือนต่อไป
  • Live and Learn All About SEO จนถึงเดือนนี้หากมีเวลาว่าง ศึกษาทุกอย่างที่อยากรู้เกี่ยวกับ SEO ให้หมด และเรียนรู้ต่อไปเรื่อยๆ

เดือนที่ 4 – 5 – 6 และต่อๆไป (monthly plan)

  • Write more because writing is easy for me หลังจากเขียนกันมา 50 บทความ หลังจากนี้เราน่าจะเขียนได้ง่ายและเร็วขึ้นมากแล้ว เอาเป็นว่าตั้งเป้าไว้สัก สัปดาห์ละ 1 – 3 บทความก็ยังดี
  • Playing with Social Network ลองดูว่าเว็บของเราจะทำอะไรกับ Social Network ได้บ้าง
  • Build Link Build Authority สร้างความน่าเชื่อถือด้วยการเพิ่ม links ให้กับเว็บไซต์อย่างต่อเนื่อง
  • Analyse Your Blog ดูว่ามีคนเข้าเท่าไหร่ จะปรับยังไงให้เขาอยู่กับเว็บเรานานขึ้น คนเข้ามาจาก Keywords ไหน
  • Optimize ปรับเว็บไซต์ให้แรงขึ้น แก้จุดอ่อน ทำให้เว็บไซต์อันดับดีขึ้น
  • Always Learning new things การทำ blog และ SEO เป็นสิ่งที่หยุดไม่ได้ Google ทำ Algorithm ใหม่ทุวัน เราก็ควรจะเรียนรู้ในทุกวัน อาจฟังดูเหมือนโหดร้าย แต่ว่าจนถึงวันนึงคุณจะเริ่มเข้าใจมัน และจะรู้ว่าควรลงแรงแค่ไหน อย่างไรเอง
  • Always Find the ways to making money ถึงแม้เราจะแนะนำวิธีทำเงินไปมากแล้ว แต่คุณอย่าหยุดคิดวิธีทำเงินเลยเชียว บางที blog ของคุณจะกลายเป็นธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ระดับโลกเลยก็เป็นได้

หากคุณทำได้ตามนี้ 15,000 ยังอาจเป็นตัวเลขที่น้อยเกินไปเลยครับ

ลงทุนทำ Blog ต้องใช้เงินหรือไม่

ในส่วนของงบ คุณสามารถเริ่มจากศูนย์บาทเลยก็ได้ แต่อาจจะต้องพึ่งพลังแฝงเยอะหน่อย ทั้งกายและใจ หรือหากเสียเงิน ก็อาจจะช่วยทุ่นแรงได้บ้าง และได้ความสวยงามตรงตามใจคุณ หรืออาจจะค่อยๆขยับขยายไปตามการเติบโตของเว็บก็ได้

สำหรับงบ 0 บาท

  • คุณอาจจะต้องเลือกใช้ Platform ฟรีในการทำเนื้อหา อาจจะเป็น Blogger , Medium และอาจจะทำให้มีคนติดตามอ่าน Content ได้มาก แต่ทำเงินด้วยการติดโฆษณาไม่ได้

สำหรับงบ 3,000 – 10,000 บาท

  • เป็นงบประมาณเบื้องต้นที่เราขอแนะนำ เนื่องจากว่าไม่เจ็บตัวมาก และเห็นผลลัพธ์ได้ดีกว่าด้านบน
  • ค่า Domain ประมาณ 250 – 450 บาทต่อปี
  • คุณสามารถเลือกใช้ Hosting ได้ในราคาช่วง 500 – 2,000 บาทต่อปี
  • สามารถซื้อ Premium Themes หรือ Plugins ได้
  • สามารถใช้จ้างให้คนสร้างเว็บเริ่มต้นให้เราก็ได้ ในกรณีที่ทำไม่เป็นจริงๆ

สำหรับงบ 10,000 บาท ขึ้นไป

  • กฏของโลก ยิ่งมีเงินทุนหนา ยิ่งโตไว แต่เราแนะนำให้คุณใช้เวลาไปกับการเรียนรู้ธุรกิจเว็บไซต์เสียก่อน และลองทำด้วยตัวเอง
  • คุณสามารถจ้างคนทำเว็บไซต์ดีๆ ได้ จ้างเขียนคอนเทนต์ จ้างออกแบบเว็บ รวมๆ อาจจะเสียเป็น 100,000 แต่ได้รับคุณภาพ และเว็บไซต์มีโอกาสที่จะโตเร็วกว่าคนอื่นได้มาก

ซึ่งจากตารางด้านบน เราจะขอแนะนำ Tools สำหรับงบ 3,000 – 10,000 บาท เพราะว่าเป็นจำนวนที่ไม่สูงเกินไปสำหรับการลงทุน และคุณน่าจะเรียนรู้ได้มากที่สุด ในงบจำนวนนี้

เครื่องมือหรือปัจจัยพื้นฐาน ที่ต้องมีถึงจะทำเว็บได้

  • Domain name | งบ 250 – 450 บาท | ชื่อของเว็บไซต์ ใช้ระบุตัวตน ส่วนจะตั้งชื่ออย่างไร เรามีแนะนำที่นี่
  • Hosting | งบ 500 – 2000 บาท | ที่ฝากเว็บไซต์ แนะนำให้เลือกโดยเปรียบเทียบหลายๆ ที่ และหากคนเข้าเว็บเรายังไม่เยอะมาก (ต่ำกว่า 100,000 ต่อเดือน) ใช้งบแค่นี้น่าจะเพียงพอ
  • WordPress | ฟรี | ขอบอกเลยว่ามันใช้ง่าย และมีคู่มือสอนออนไลน์เพียบ สามารถให้คุณเรียนรู้ได้จาก มือใหม่ ไปจนถึงขั้น มืออาชีพ เลยทีเดียว

Plugins แนะนำสำหรับ WordPress (ใช้ดีจึงบอกต่อ)

WordPress มี Plugins เป็นแสนให้คุณได้ลองใช้ Plugins คือส่วนที่ทำให้เว็บไซต์ทำงานได้เก่งขึ้น เสริมความสามารถต่างๆ เหมือนการแต่งรถ แต่งบ้าน และนี่เป็น Plugins ที่เราแนะนำ

ไม่ควรติดตั้ง Plugins เยอะมากนัก 10 – 20 กำลังดี เพราะจะทำให้ Hosting ทำงานได้ช้าลง และอาจจะทำให้เว็บไซต์ล่มบ่อยก็ได้

หมวดพื้นฐาน

Rankmath SEO | ปลั๊กอินจัดการเรื่อง SEO ให้เว็บไซต์ของเราแบบครบวงจร

TinyMCE Advanced | ใช้สำหรับปรับหน้าตาการเขียน Post ในเว็บไซต์ให้เหมือนกับ Microsoft Word

Google Analytics Dashboard for WP | ใช้สำหรับติดตั้ง Google Analytics ลงในเว็บไซต์ เพื่อทำให้วัดสถิติได้

Easy Google AdSense | ใช้สำหรับติดตั้ง Google Adsense ลงในเว็บไซต์ ให้สามารถทำเงินได้ง่ายๆ

หมวดการปรับแต่งระบบการทำงานของเว็บ

Sucuri Security | ใช้ป้องกัน Malware และ ไวรัสต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ สำคัญมาก ควรติดเป็นตัวแรกๆเลย

LiteSpeed Cache | ใช้สำหรับปรับให้ระบบ Cache ของเว็บไซต์ทำงานได้เร็วขึ้น เว็บไซต์เราก็จะโหลดเร็วขึ้นได้นิดหน่อย 10 – 20%

Image optimization service by Optimole | ใช้ช่วยปรับภาพของเว็บไซต์ให้มีขนาดเล็กลง เพื่อที่จะทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น (ใช้ตัวฟรีก็ยังพอ สำหรับเว็บเล็กๆ)

Plugins ป้องกัน Malware สำคัญมาก อย่าประมาทเด็ดขาด เพราะความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นอย่างร้ายแรงที่สุด (เคยเกิดขึ้นกับตัวมาแล้ว) คือเว็บไซต์หาย กู้คืนไม่ได้ และอันดับเว็บไซต์ก็ร่วงหายไปในพริบตา TT

หมวดความสวยงาม

Shortcodes Ultimate | ใช้เพิ่มลูกเล่นให้กับ Content บนเว็บไซต์ ให้มีความสวยงาม และเล่าเรื่องได้มากกว่าที่เคย

หมวดการวิเคราะห์ SEO (แถมให้ ทุกโปรแกรม ฟรี)

Ubersuggest by Neil Patel | สำหรับตัวนี้ใช้วิเคราะห์ได้ทั้งเว็บไซต์ และ Keywords เรียกได้ว่าครบครันมาก ไว้มีเวลาจะมาเขียนถึงคุณประโยชน์ของมัน (ไม่มีปัญหากับภาษาไทย และทำงานได้เกือบจะดีกว่าตัวเสียเงินเลยด้วยซ้ำ)

OpenLinkProfiler | ใช้วิเคราะห์ Backlinks ที่เข้ามาในเว็บไซต์ ก็จะดูได้ว่ามี Spam link ปนมาไหม ถ้ามีต้องรีบจัดการซะ

Google Search Console | ชื่อเก่าคือ Google Webmaster Tools ใช้สำหรับดูว่าคนใน Google ค้นหาคีย์เวิร์ดอะไรถึงจะเจอเว็บเรา เช็คว่าเว็บไซต์เราทำอันดับได้ดีขึ้นไหม Submit Sitemap และอะไรเป็นอุปสรรคในการทำให้เว็บไซต์เราไม่สามารถทำอันดับได้ ควรลงทะเบียนไว้แต่เนิ่นๆ เลยครับตัวนี้

Google Analytics | ใช้วิเคราะห์ว่าเว็บไซต์ของเรามีคนเข้ามาแต่ละวันเท่าไหร่ เข้ามาแล้วทำอะไร เข้ามาจากช่องทางไหน เรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางของการวิเคราะห์เว็บไซต์ ถ้าเราอ่านข้อมูลเก่งๆ ก็เรียกได้ว่าประกอบอาชีพ Digital Marketer ได้ไม่ยากเลย

ตัวอย่าง Blog ทำเงิน ทำบล็อกแบบไหนถึงจะมีรายได้

เราแนะนำให้คุณทำแบบ Niche Site คือการทำ Blog เล่าเรื่องในแบบเนื้อหาเฉพาะเจาะจง เล่าเรื่องในแบบของคุณเอง ข้อดีของการทำเนื้อหาเฉพาะเจาะจงคือ คุณจะได้เจอกลุ่มคนที่สนใจในเรื่องราวเดียวกับคุณ เข้ามาอ่านเว็บของคุณนั่นเอง

หัวใจสำคัญที่เราแนะนำว่าเว็บไซต์ของคุณจะต้องมี เพื่อทำให้เว็บของคุณโดดเด่นกว่าใคร คือ เนื้อหาคุณภาพที่ให้ข้อมูลได้ละเอียดที่สุดแบบที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน หรือ สามารถตอบคำถามให้กับคนที่กำลังเข้าชมเว็บไซต์ของเราได้

ตัวอย่างไอเดียในการทำ Niche Site

การเดินป่า – เว็บไซต์แนะนำวิธีเดินป่า การเตรียมอุปกรณ์ แนะนำป่าที่ควรไปเดิน

ฝึกเล่นกีตาร์ – สอนวิธีหัดเล่นกีตาร์ แนะนำอุปกรณ์ ตารางฝึกหัด

อาหารคลีนเพื่อสุขภาพ – แนะนำเมนูอาหารคลีน ให้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับการทำอาหารคลีน

มาเริ่มทำ Blog คุณภาพ กันเถอะ

ถึงเวลาลงมือทำแล้ว จนถึงตอนนี้เราหวังว่าคุณจะไฟลุก และอยากจะเริ่มลงมือเขียนบทความแรกกันเต็มที แต่ก่อนที่คุณจะเริ่มเขียน มาดูกันว่าการจะก่อร่างสร้าง เว็บคุณภาพ ที่สามารถทำรายได้อย่างยั่งยืน ทำยังไง ให้ไม่แป้ก

คำแนะนำ: การวางรากฐานไว้แต่ต้น อาจจะดูน่าหงุดหงิด รำคาญใจ สำหรับคนที่อยากลงมือทำ แต่มันสำคัญมาก เพราะจะทำให้คุณไม่ต้องกลับมาปรับโครงสร้างกันบ่อยๆ

และยิ่งคุณทำรากฐานเว็บไซต์แข็งแรงตั้งแต่วันแรก – เดือนที่ 6 รับรองว่า Google จะเห็นถึงคุณภาพของเว็บไซต์ และส่งคุณสู่หน้าแรก Google ในเร็ววัน

หา คีย์เวิร์ดทำเงิน ของบล็อกคุณให้เจอก่อน

คีย์เวิร์ดทำเงิน เป็นคำที่เราจะได้ยินบ่อยๆ สำหรับคนที่เข้ามาในสายเว็บไซต์ หากแปลแบบมีคุณภาพเลย คือ ” คำค้นหาที่เมื่อเกิดการค้นหาแล้ว จะเปลี่ยนเป็นการซื้อขายที่มีมูลค่าบนออนไลน์

ยกตัวอย่างเช่น ” ซื้อ บ้านเดี่ยว รัชดา ซอย 3″ คนที่จะค้นหาคำนี้ ต้องกำลังมองหาบ้านในพื้นที่นั้น ซึ่งหากเขาค้นหาครั้งเดียวและซื้อเลย คำนั้นอาจจะมีมูลค่าถึงหลักล้านเลยก็ได้

หากเราอยากทำให้เว็บไซต์เรามีรายได้ เราก็ควรจะโฟกัสการเขียนบทความให้กับคีย์เวิร์ดทำเงินกันก่อน โดยมีวิธีหาดังต่อไปนี้

ไปที่ Ubersuggest

ลองพิมพ์คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวกับ niche ที่คุณเลือก อย่างเราเลือก niche บาสเกตบอล ก็พิมพ์ บาสเกตบอล

ทีนี้ก็จะแสดงข้อมูลว่า คำนี้มีคนค้นหาต่อเดือนเท่าไหร่ ,ทำ SEO ยากไหม ราคาต่อ click คือเท่าไหร่

อย่างในตัวอย่างนี้ ราคาต่อ clicks คือ 1.98 บาท ซึ่งถือว่าน้อยมากกกก หากจะอยากทำเงิน 15,000 จากคีย์นี้ ต้องมีคนคลิก 7,000 ครั้งต่อเดือน คนเข้าเว็บเกือบแสนครั้ง เลยหละถึงจะได้ยอดนี้ ซึ่งยากไปครับ เราขอแนะนำให้คุณกดเพิ่มที่คำว่า Keyword Ideas

ค่อยยังชั่ว Keywords อย่าง บาสเกตบอล nba สด ราคาสูงมาก (เว็บอาจจะรวน) หรือคีย์เวิร์ดอย่าง รองเท้า บาสเกตบอล under armour ที่ดูแล้วเป็น buyer keywords มีราคาต่อคลิกอยู่ที่ 14 บาท ขอแค่สักพันคลิ๊กเราก็ทำรายได้เยี่ยมแล้ว ถ้าเราเขียนบทความถึงเรื่องนี้ รับรองว่ารายได้เราโอเคแน่ๆ

คำแนะนำ: ในส่วนของ search volume สำหรับเราตัวเลขประมาณ 70 – 1000 กำลังดี คือแข่งขันได้แน่นอน SEO ไม่โหดมาก และมีคนค้นหาต่อเดือนค่อนข้างโอเค (ในการค้นหาจริงๆ ต่อเดือน

ถ้าเว็บเราหลุด sandbox แล้วมีคนเข้าเกิน 70 แน่นอน เพราะหนึ่งบทความสามารถติดอันดับ keywords ได้หลากหลายเลยทีเดียว

รวมไปถึงไม่ต้องสนใจค่าความยากง่าย เราพิสูจน์มาแล้วว่าถ้าคุณเขียนเรื่องสดใหม่ ทำเนื้อหาน่าสนใจ ยังไงคุณก็ชนะคีย์เหล่านี้ได้ไม่ยาก

คุณควรจะหาคีย์เวิร์ดทำเงินไว้สัก 50 – 100 คีย์เวิร์ดเพื่อเป็นไอเดียในการจัดวาง Structure เว็บไซต์ และใช้เขียนบทความ ครับ ( หามาเผื่อเลือก )

การวาง Structure ของเว็บ Blog

รูปแบบของเว็บที่ดีคืออะไร ? ที่จริงเราอยากให้คุณลืมเรื่องเว็บไซต์ไปเสียก่อน ให้ลองนึกถึงประสบการณ์การใช้งานสิ่งต่างๆรอบตัวที่เกี่ยวข้องกับการอ่าน แน่นอนครับ หนังสือ

Google เองเขาก็มองเรื่องประสบการณ์การใช้งานสำหรับคนเข้าเว็บเป็นหลัก ดังนั้นหาก Structure เราดีเหมือนหนังสือสักเล่ม Google ก็จะรักเว็บเราเป็นพิเศษ

ให้ลองหยิบหนังสือสักเล่มมาดู จะเห็นว่า

ปกหนังสือ = หน้าแรกของเว็บไซต์

คำนำ อารัมภบท = หน้าเกี่ยวกับเรา

สารบัญ = นี่คือส่วนที่จะมองภาพรวมของทั้งเล่ม เป็น Sitemap ซึ่งวิธีที่เราใช้คือ นำหัวข้อใหญ่มาเป็นเมนูของเว็บนั่นเอง และซอยย่อยบทความต่าง ๆ ตามหมวดหมู่

เนื้อหา = บทความต่างๆ ในเว็บ

Google ชอบการวาง Structure แบบนี้มากครับ เพราะมันคือประสบการณ์ที่ดีของคนเข้าเว็บไซต์ ตัวรูปแบบการทำหนังสือ เขาก็ทำแบบนี้กันมาเป็นร้อยเป็นพันปี

มันคือประสบการณ์ที่เป็นสากล และเข้าใจง่ายนั่นเอง และก่อนที่เราจะหลงลืมเป้าหมายของเรา ขอทิ้งคำคม seo ไว้สักนิด

เราไม่ได้ทำเว็บเพื่อ Google เราทำเว็บเพื่อคนที่เข้ามาใช้งานเว็บไซต์เรา

อย่างตัวอย่างเว็บไซต์บาสเกตบอลที่ได้ค้นหาคีย์เวิร์ดทำเงินแล้ว ในที่นี้เราสมมติว่าเราใช้เว็บชื่อ นักบาสสามแต้ม.co (ไม่มีจริงนะ ไม่ต้องตามหา) เราสามารถวาง structure ได้ประมาณนี้

แบ่งเว็บออกเป็น 3 หมวดหมู่ คือ

การฝึกซ้อม ในส่วนนี้ก็จะเขียนบทความ how to ซ้อม ซึ่งสามารถต่อยอดไปขายคอร์สสอนบาสเกตบอลได้เลย เห็นไหมครับว่าโอกาสในการทำเงินอยู่ในทุกที่จริง ๆ

ของชิ้นโปรด ในส่วนนี้ก็จะรีวิวสินค้าเกี่ยวกับนักบาส อาจจะเป็นรองเท้า เสื้อ ลูกบาส อุปกรณ์ฝึกซ้อม สามารถต่อยอดได้อีกมาก เนื่องจากว่าในหมวดหมู่นี้จะเป็นคีย์เวิร์ดทำเงินแน่นอน ดังนั้นแค่ติดโฆษณา ก็จะสามารถทำเงินได้ไม่ยาก

บทความสร้างแรงบันดาลใจ บทความแบบนี้จะช่วยให้เกิดการพูดถึงเว็บไซต์ได้เยอะ เพราะเป็นเนื้อหาคุณภาพ ยิ่งหากคุณมีโอกาสได้สัมภาษณ์นักกีฬา คนมีชื่อเสียงแล้ว นี่ก็เป็นหมวดหมู่ที่จะทำให้คนเข้ามาเว็บไซต์ได้ไม่น้อยเลย

ซึ่งเราก็จะสามารถทำเงินจาก ads ได้ หรือโยงบทความนี้ไปยังหมวดอื่นๆ เพื่อขายของที่แพงกว่าในเว็บได้ นั่นเอง

เมื่อเราได้มีการเตรียมวาง structure ก็จะทำให้เราทำ blog ต่อได้อย่างเป็นระบบ และคิดแนวทางต่อยอดออกไปได้อีกเยอะมาก ๆ รวมถึงยังทำให้ Google มองว่าเว็บไซต์เรามีคุณภาพมาก ๆ อีกด้วย

ถึงเวลาเปิดตัวเว็บบล็อกของเราที่พร้อมจะทำรายได้แล้ว

เอาละครับ เตรียมตัวกันมานาน ถึงเวลาแล้วหละที่คุณจะต้องเริ่ม Launch เว็บไซต์ออกไปในระบบ ยิ่งทำออกไปได้เร็วแค่ไหนยิ่งดี เพราะ Google Sandbox จะเริ่มนับจากวันแรกที่ระบบตรวจเจอ เว็บไซต์คุณ แล้ว + ไปอีกอย่างต่ำ 3 – 6 เดือน ที่คุณจะไม่เจอเว็บไซต์คุณในการค้นหาอันดับ 1 – 10 เลย โหดร้ายมาก

นั่นเป็นเพราะ Google ปวดหัวกับการที่มีคนสแปมเว็บ แล้วปั่นอันดับผลการค้นหาให้ทำอันดับได้เร็วๆ ในยุคก่อน จนปัจจุบัน Google เลยออกแบบให้มี sandbox มาเพื่อกันปัญหานี้ครับ เขาน่าจะใช้เวลา 6 เดือนไปกับการตรวจความผิดปกติของเว็บไซต์เรานี่แหละ

อยากออกจาก Google sandbox เร็วๆ ทำยังไง

นี่เป็นทั้งความเชื่อ และความจริงที่เราพิสูจน์มาแล้วบ้าง ว่าสามารถทำให้ผลการค้นหาในเว็บไซต์คุณ ติดอันดับ 1 – 10 อย่างรวดเร็ว

  • ใช้ keywords ที่ program วิเคราะห์คีย์เวิร์ด ไม่โชว์ volume หรือต่ำกว่า 50 เพราะแทบจะไม่มีคนแข่งกับคุณเลยในคีย์นี้ (คิดว่า 1 – 3 เดือนได้แน่)
  • เขียนบทความที่มีคุณภาพ และมีความยาวกว่า 5,000 คำขึ้นไป คือมันเป็นตัวเลขที่เกินค่าเฉลี่ยของเว็บไซต์ที่ติดอันดับ 1 – 10 โดยเฉพาะภาษาไทย ที่จะเขียนบทความกันประมาณ 500 – 800 คำเท่านั้น ถ้าเราทำได้ขนาดนี้ ยังไง Google ก็มั่นใจแหละครับว่าบทความเราคุณภาพจริง
  • มี Traffic จาก Social ค่อนข้างมากและสม่ำเสมอ (มากคือ 1000+ ต่อวัน)Google เองก็ไม่ยอมน้อยหน้าเจ้าอื่นครับ เขามีหน้าที่ผลักดันให้เว็บที่ดังอยู่แล้ว ดังขึ้นไปอีก ดังนั้นหากเรามีคนเข้าเว็บจาก Social Media จำนวนมากๆ และสม่ำเสมอ มันแปลว่าเรามอบประสบการณ์ดีๆให้กับผู้ใช้ได้มาก Google ก็จะช่วยเราเรื่องอันดับครับ

On Page SEO เบื้องต้น

ที่จริง On Page SEO เป็นเรื่องง่าย และเพียงแค่คุณเข้าใจเบื้องต้น คุณก็แทบจะไม่ต้องลงลึกอะไรกับมันแล้ว คือมันเป็นเรื่อง simple จริงๆ ถ้าให้อธิบายสั้นๆในแบบของเรา On Page SEO คือ

การปรับแต่งหน้าเว็บไซต์ ให้คนและบอท เข้าใจง่าย และเข้าใจร่วมกันมากที่สุด ถ้านึกไม่ออกให้คิดถึงการเขียนหนังสือรายงาน

ในชีวิตคุณคงเคยผ่านการเขียนรายงานมาบ้าง หรือถ้าเคยผ่านทีสิส น่าจะเข้าใจการจัดหน้าเอกสารดี On Page SEO คืออะไรแบบนั้นครับ แต่ว่ายืดหยุ่นกว่าค่อนข้างมาก เพราะมันไม่จำเป็นต้องอยู่ในฟอร์มที่น่าเบื่อ

มันเปลี่ยนแปลงฟอร์มเพื่อให้ประสบการณ์ของคนใช้งานดีขึ้นได้ แต่ว่าก็ต้องเล่าหน้าเว็บไซต์ให้บอทเก็บข้อมูลเข้าใจง่ายที่สุดแค่นั้นเอง ลอง clicks ที่รูปข้างล่างเพื่อไปอ่านบทความเต็มๆครับ ส่วนเราขอยังไม่พูดถึงเรื่องนี้แบบเต็มในโพสต์นี้

นอกจาก Google แล้ว คุณยังทำให้เว็บไซต์คุณเป็นที่รู้จักในที่อื่นได้

หากคุณรู้สึกว่าจะรอให้ Google จัดอันดับให้เว็บไซต์เราอย่างเดียว ก็คงนาน เราก็มีวิธีแนะนำสำหรับสายฟรี ในการโปรโมทเว็บไซต์ครับ

สร้างช่องทาง Social Media ของเว็บไซต์คุณ

นี่เป็นวิธีที่เราแนะนำมาก เพราะว่าเมื่อคุณมีคนติดตามใน Social Media ยิ่งมาก ยิ่งทำให้คุณสร้าง traffic เข้าเว็บไซต์ได้มาก และทำรายได้ให้คุณมหาศาลครับ พยายามสร้างและชวนคนเข้ามาทำความรู้จักกับเว็บคุณให้เยอะ ๆ Channel แนะนำตอนนี้คือ Facebook , YouTube ครับ ( YouTube มีพลังในการ drive traffic อย่างมหาศาล ห้ามพลาด)

เข้าร่วม Communities ที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของคุณ

อาจจะเป็นเว็บบอร์ด หรือ Facebook group หรือบนออฟไลน์ก็ได้นะครับ หากคุณมีคนรู้จักที่ชอบอะไรเหมือนๆคุณ ลองชวนเขาให้เข้ามาอ่านบทความในเว็บไซต์ของคุณสิครับ

ทำ Blog เสร็จแล้ว ทำอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ

แม้อาจมีคนบอกว่าการทำเว็บไซต์เป็น อิสระทางการเงิน เหนื่อยครั้งเดียว ก็รอกินกำไรแบบยาวๆ เป็น passive income แต่เราคิดว่าคุณควรจะวางแผนระยะยาวไว้บ้าง เพื่อที่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณเติบโต และทำกำไรได้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

แผนต่อเนื่องในระยะยาว

คุณอาจจะเล็งเห็นในตอนที่เราเขียนเกี่ยวกับแผนเดือนที่ 4 – 6 ว่ามันเป็น pattern เดิมๆ วนไป เราขอขยายความขึ้นมาอีกนิดว่า คุณต้องทำอะไรหลังจากทำเว็บไซต์เสร็จ

หมั่นเขียนบทความอย่างสม่ำเสมอ

เพื่อให้เว็บไซต์ดูมีอะไรอัพเดทตลอดเวลา ดีต่อคนติดตามและ Google เลยครับ การอัพเดทอาจจะไม่จำเป็นต้องเขียนบทความใหม่ แต่เป็นการเพิ่มข้อมูลในบทความเดิมก็ยังไงได้ครับ ซึ่งเราขอแนะนำให้ในแต่ละเดือนมีบทความใหม่ๆ อย่างน้อย 5 – 10 บทความก็ยังดี

ทำให้ช่องทาง Social Media โตขึ้น

คุณควรเพิ่มฐานคนติดตามทั้งในเว็บไซต์ และช่องทาง Social อย่างต่อเนื่อง พยายามพูดคุยกับเขา เพื่อที่เราจะได้มีไอเดียใหม่ๆ มาเขียน เกิดเป็นปฏิสัมพันธ์ และทำให้คนติดตามเติบโต อย่างที่บอกไปครับ ยิ่งมีคนติดตามเยอะ รายได้ก็จะยิ่งเยอะตามมา

วิเคราะห์สถิติเว็บไซต์ในทุกเดือน

คุณคงจะงงๆ แหละครับ ถ้าทำเว็บแล้วไม่สามารถตอบตัวเองได้ว่า คนเข้าหน้าไหนเยอะที่สุด คนเข้าเว็บเรามาจากอะไร ซึ่งคุณควรตัดปัญหาเหล่านี้ด้วยการเรียนรู้การใช้ตัววิเคราะห์คนเข้าเว็บไซต์อย่าง Google Analytics มันจะทำให้คุณเห็นว่าคนเข้ามาทำอะไรบ้าง เพื่อใช้ในการปรับแก้เว็บไซต์ให้ดีขึ้นต่อๆไป

ปรับเว็บไซต์ให้ดีขึ้นเมื่อมีโอกาส และเมื่อต้องทำ

ใช่แล้ว หลังจากวิเคราะห์สถิติเว็บไซต์ คุณควรจะต้องนำมาปรับแต่งด้วย ทั้งเรื่องของประสบการณ์การใช้งาน การทำให้คนไปใช้ส่วนต่างๆในเว็บไซต์มากขึ้น ทำให้คนอยู่ในเว็บคุณนานขึ้น อะไรยังงี้ครับ ไว้เรามาทำแนวทางให้อีกทีคราวหน้า

นี่เป็นแผนการคร่าวๆ ที่อาจจะใช้เวลาแค่ 2 – 3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรือต่อเดือน ในการตรวจเช็คและทำให้เว็บของคุณดีขึ้นครับ

คุณเองก็เป็น บล็อกเกอร์เงินล้านได้

คือถ้าคุณอ่านมาจนถึงบรรทัดนี้แล้ว เราขอปรบมือให้คุณเลย เก่งมาก นี่คือแผนการสู่การเป็น Blogger มืออาชีพ ที่คุณสามารถทำเป็นอาชีพเสริมก็ได้เลยตั้งแต่วันนี้

คำตอบที่ดีที่สุดก็คือ คุณควรลงมือทำมันซะเลยตั้งแต่วันนี้ คุณอาจจะทำผลลัพธ์ที่ดีกว่าเราก็ได้ ไว้เดี๋ยวจะมาแนะนำตัวอย่างของ Blog ที่ทำเงินแล้วในโอกาสต่อไป

IncomeSpire.com

IncomeSpire.com คือการรวมตัวของกลุ่มคนที่เชื่อว่า ความมั่งคั่ง สามารถสร้างได้จริง โดยชื่อเว็บไซต์ของเรามาจากคำว่า Income ซึ่งแปลว่า รายรับหรือเงินได้ ผสมกับคำว่า Inspire ที่แปลว่า แรงบันดาลใจ เมื่อรวมกันแล้วจึงทำให้เป็นคำที่มีความหมายที่พวกเราคิดเอาเองว่า "สร้างแรงบันดาลใจให้การสร้างรายได้"

บทความก่อนหน้า